สาระน่ารู้! น้ำมันเครื่องรถยนต์มีกี่ประเภท
สาระน่ารู้วันนี้ เราจะพาทุกคนไปเจาะลึกทำความรู้จักกับน้ำมันเครื่องรถยนต์ว่ามีกี่ประเภท แล้วแต่ละแบบนั้นมีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรบ้าง แบบไหนเหมาะกับเครื่องยนต์ประเภทใด Biomotor ได้รวมข้อมูลมาให้แล้วที่นี่
น้ำมันเครื่องรถยนต์โดยหลักแล้วแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ตามกระบวนการผลิตและส่วนประกอบ ดังนี้ครับ
น้ำมันเครื่องธรรมดา (Mineral Oil / Conventional Oil / Petroleum Oil)
- การผลิต: เป็นน้ำมันพื้นฐานที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียมโดยตรง
- คุณสมบัติ: เป็นน้ำมันเครื่องที่มีราคาถูกที่สุด มีประสิทธิภาพในการหล่อลื่นและปกป้องเครื่องยนต์ในระดับพื้นฐาน
- ข้อดี: ราคาประหยัด
- ข้อเสีย: เสื่อมสภาพเร็ว ทนความร้อนได้ไม่สูงนัก ระยะเวลาการเปลี่ยนถ่ายสั้นกว่าประเภทอื่น
- ระยะการเปลี่ยนถ่าย: ประมาณ 3,000 – 5,000 กิโลเมตร หรือ 4-6 เดือน (แล้วแต่ยี่ห้อและสภาพการใช้งาน)
- เหมาะสำหรับ: รถยนต์รุ่นเก่า หรือรถยนต์ที่ไม่ได้ใช้งานหนักมากนัก
น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ (Semi-Synthetic Oil / Synthetic Blend Oil)
- การผลิต: เป็นการผสมผสานระหว่างน้ำมันเครื่องธรรมดา (Mineral Oil) กับน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ (Synthetic Base Oil) ในอัตราส่วนที่เหมาะสม
- คุณสมบัติ: มีประสิทธิภาพที่ดีกว่าน้ำมันเครื่องธรรมดา ทนทานต่อความร้อนได้ดีขึ้น ช่วยป้องกันการสึกหรอได้ดีกว่า และมีอายุการใช้งานนานกว่า
- ข้อดี: ประสิทธิภาพดีขึ้นจากน้ำมันเครื่องธรรมดา แต่ราคายังไม่สูงเท่าแบบสังเคราะห์แท้ ถือเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่า
- ข้อเสีย: ยังไม่เทียบเท่ากับน้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ในแง่ของประสิทธิภาพสูงสุดและระยะเวลาการใช้งาน
- ระยะการเปลี่ยนถ่าย: ประมาณ 5,000 – 10,000 กิโลเมตร หรือ 6-9 เดือน (แล้วแต่ยี่ห้อและสภาพการใช้งาน)
- เหมาะสำหรับ: รถยนต์ทั่วไปที่ใช้งานในชีวิตประจำวัน ไม่ได้ใช้งานหนักมากนัก
น้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ (Fully Synthetic Oil)
- การผลิต: ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นสังเคราะห์ล้วน ซึ่งผ่านกระบวนการทางเคมีที่ซับซ้อน ทำให้ได้โมเลกุลน้ำมันที่มีขนาดสม่ำเสมอและบริสุทธิ์สูง
- คุณสมบัติ: เป็นน้ำมันเครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ทนทานต่ออุณหภูมิสูงและต่ำได้ดีเยี่ยม ช่วยลดการสึกหรอของเครื่องยนต์ได้อย่างยอดเยี่ยม ทำความสะอาดเครื่องยนต์ได้ดี และมีอายุการใช้งานยาวนานที่สุด
- ข้อดี: ปกป้องเครื่องยนต์ได้ดีที่สุด ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ดีกว่า (บางสูตร) ยืดอายุการใช้งานเครื่องยนต์
- ข้อเสีย: ราคาสูงที่สุด
- ระยะการเปลี่ยนถ่าย: ประมาณ 10,000 – 20,000 กิโลเมตร หรือ 1 ปี (แล้วแต่ยี่ห้อและสภาพการใช้งาน)
- เหมาะสำหรับ: รถยนต์รุ่นใหม่ รถยนต์สมรรถนะสูง รถยนต์ที่ใช้งานหนัก รถที่ขับขี่ด้วยความเร็วสูง หรือผู้ที่ต้องการการปกป้องเครื่องยนต์สูงสุด
นอกจากประเภทหลักๆ แล้ว ยังมีการแบ่งน้ำมันเครื่องตามประเภทเครื่องยนต์อีกด้วย
- น้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์เบนซิน: มักจะมีการระบุมาตรฐาน API ขึ้นต้นด้วยตัว “S” เช่น API SN, SP เป็นต้น
- น้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล: มักจะมีการระบุมาตรฐาน API ขึ้นต้นด้วยตัว “C” เช่น API CI-4, CK-4 เป็นต้น
ปัจจัยสำคัญในการเลือกน้ำมันเครื่องรถยนต์ให้เหมาะสม
- คู่มือรถยนต์: ผู้ผลิตรถยนต์จะระบุชนิดของน้ำมันเครื่องและค่าความหนืด (เช่น 0W-20, 10W-40) ที่เหมาะสมกับเครื่องยนต์ของรถคุณเสมอ นี่คือข้อมูลที่สำคัญที่สุดที่ควรยึดถือ
- ลักษณะการใช้งาน: หากใช้งานรถยนต์หนัก บรรทุกของบ่อย เดินทางไกล หรือขับขี่ด้วยความเร็วสูง ควรเลือกน้ำมันเครื่องที่มีประสิทธิภาพสูง
- สภาพอากาศ: ในสภาพอากาศที่หนาวจัดหรือร้อนจัด ค่าความหนืดของน้ำมันเครื่องก็มีผลต่อการหล่อลื่น
- งบประมาณ: น้ำมันเครื่องแต่ละประเภทมีราคาที่แตกต่างกัน ควรเลือกให้เหมาะสมกับงบประมาณและความต้องการ
การเลือกใช้น้ำมันเครื่องที่ถูกต้องและเปลี่ยนถ่ายตามระยะเวลาที่เหมาะสม จะช่วยให้เครื่องยนต์มีอายุการใช้งานที่ยาวนานและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ